เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: ผู้จัดการออนไลน์
ศูนย์ข่าวศรีราชา – บช.ภ.2 สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีตำรวจบุกตรวจค้นสถานบริการ “คลับวัน” พัทยา เปิดบริการถึงตี 3 เจอนักเที่ยวไทย-เทศกว่า 200 คน แต่นำตัวตรวจฉี่ไม่ได้แต่คนเดียว ชี้พบตำรวจมีเอี่ยวเรียกรับผลประโยชน์ลงดาบทันที
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกัน จ.ชลบุรี และ อ. บางละมุง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 2 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นสถานบริการ “คลับวัน” ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของ สภ.เมืองพัทยา เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา
โดยพบนักเที่ยวไทย-เทศกว่า 200 คน และมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มโวยใส่และไม่ยอมให้ตรวจสอบ จนสุดท้ายพากันหลบหนีจนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำตัวใครไปตรวจหาสารเสพติดได้
และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้น พบวัตถุคล้ายยาเสพติดอยู่ในผับดังกล่าว จึงได้ควบคุมตัวผู้ดูแลร้านไปดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนลักลอบเปิดสถานบริการ จำหน่ายสุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งเสียงดัง ไม่ปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
แต่ประเด็นที่สร้างความข้องใจให้ผู้คนในสังคม คือ เรื่องการไม่สามารถนำตัวนักเที่ยว 200 คน ตรวจหาสารเสพติดได้เนื่องจากนักท่องเที่ยวโวยวายไม่ให้ตรวจสอบ สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องปล่อยให้หนีไปโดยอ้างว่ากำลังเจ้าหน้าที่มีน้อย จนเกิดคำถามมากมายต่อผู้คนในสังคมเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่นั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค 2 เผยว่า พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และ พล.ต.ต.สุรจิต ชิงนวรรณ์ รวมถึง พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว
และให้รายงานรายละเอียดพฤติการณ์แห่งคดี พร้อมผลการดำเนินการให้ตำรวจภูธรภาค 2 รับทราบภายในวันที่ 26 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจรายใดเรียกรับผลประโยชน์หรือเกี่ยวข้องในทางมิชอบจะให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการพิจารณาความผิดไปตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ในฐานะโฆษกตำรวจภูธรภาค 2 ยังฝากถึงพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำความผิดในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การมั่วสุมกับยาเสพติด สามารถแจ้งไปยังสถานีตำรวจในพื้นที่ หรือหมายเลขโทรศัพท์ 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
